เห็นทีเหล่าดีไซเนอร์ดังทั่วโลก จะต้องผิดหวังกับเสื้อผ้าโชว์แขนเรียวขาสวย ที่สู้อุตส่าห์ดีไซน์มาแล้วขายไม่ออก เพราะว่าทุกวันนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่ต่างก็พกพาคลื่นไขมันตะปุ่มตะป่ำ อย่างที่เรียกว่าผิวเปลือกส้มไปในที่ต่าง ๆ
ผิวเปลือกส้มหรือเซลลูไลท์ นับเป็นอุปสรรคของผิวสวย ไม่ว่าจะเป็นสาวหุ่นเกินพิกัด หรือสาวที่มีรูปร่างได้มาตรฐานทั่วไป ที่ร้ายสุด ๆ เห็นทีจะเป็นตอนที่ลอนไขมันขรุขระนั้น ปรากฏเป็นคลื่นชัดเจนเมื่อคุณเคลื่อนไหวร่างกาย หรือในเวลาที่กล้ามเนื้อเกิดการยืดตัว เช่น ขณะที่นั่งไขว่ห้าง เป็นต้น
และเมื่อวัยเพิ่มขึ้น ริ้วไขมันที่หนาขึ้นเรื่อย ๆ นี้ จะกำจัดได้ยาก และต้องใช้เวลานาน เนื่องจากเซลลูไลท์ที่ดูเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำนี้ จะมีเปลือกเหนียว ๆ หุ้มอยู่ ภายในเต็มไปด้วยไขมัน น้ำเสียและสารพิษสะสมที่ตกค้างมาจากอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งขาดการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นเวลานาน ๆ
ถ้าหากคุณนึกรังเกียจเซลลูไลต์ มีคำแนะนำพร้อมวินัยอย่างเคร่งครัดดังนี้
รีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคโดยด่วน การรับประทานจุบจิบ ชอบอาหารจำพวกที่มีไขมันสูง ของทอด ของมัน ขนมหวาน น้ำอัดลม กาแฟ ช็อกโกแลต จะทำให้เกิดการสะสมของก้อนไขมัน พร้อม ๆ กับสารพิษที่สะสมตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ หันมารับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ผัก และผลไม้ที่ไม่ทำให้อ้วนมากดีกว่า
ออกกำลังกายเสียบ้าง แน่นอนว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะได้เหงื่อซึ่งเป็นของเสียที่ถูกขับออกจากร่างกาย ชั้นไขมันที่เกาะตัวหนาก็จะแตกตัวกระจายเป็นก้อนเล็ก ๆ และในที่สุดกล้ามเนื้อจะได้รับการยืดหยุ่นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ไขมันจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อที่แน่นกระชับแทน
ผลิตภัณฑ์กำจัดเซลลูไลท์ จำไว้เลยว่าครีมกำจัดเซลลูไลท์เพียงอย่างเดียว ไม่ช่วยทำให้ก้อนไขมันตะปุ่มตะป่ำสลายไปได้ ในชั่วระยะเวลาครีมหมดหลอด ครีมเหล่านี้เป็นเพียงตัวช่วยที่ดีเท่านั้น ด้วยครีมจะซึมผ่านผิวหนังลงสู่ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อไปละลายไขมันส่วนเกิน ส่วนผสมของเครื่องสำอางกลุ่มนี้คือ Methylxanthines (เมทธิลแซนทีน) หรือสารสกัดที่ได้จากพืชบางชนิด ได้แก่ Theophyline ซึ่งได้จากใบชา Caffeine ได้จากกาแฟ Aminophyline ได้จากพืชบางชนิด
หากปฏิบัติได้ทั้ง 3 ข้อนี้อย่างมีวินัยและเคร่งครัด รับรองได้ว่า เซลลูไลท์ไม่มาเยือนคุณแน่นอน
จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
เผย 5 เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ
เคล็ดไม่ลับ 5 วิธีการเลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ
การรู้จักเลือกรับประทานอาหารไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องสุขภาพเท่านั้น หากยังเอื้อต่อความสวยความงามอีกด้วย ความจริงการเลือกอาหารให้เหมาะสมตามช่วงวัยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สุขภาพดีได้ เพราะในแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างกันในด้านพัฒนาการของร่างกายและลักษณะการดำเนินชีวิต วันนี้จึงขอเสนอเรื่องราวของอาหารที่เกี่ยวข้องกับช่วงอายุทั้ง 4 ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดที่คุณจะลองทำตาม
วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 ช่วงอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่ร่างกายมีการพัฒนาและเติบโตเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน และเป็นวัยที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งมีการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมากเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งเผาผลาญและใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม โดยเลือกรับประทานจำพวกเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ รวมถึงข้าวและแป้งมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยผักผลไม้เป็นอันดับสอง ส่วนนมและอาหารทดแทนแคลเซียมต่างๆ เช่น เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม ตามมาเป็นอันดับสาม และให้ความสำคัญของไขมันเป็นอันดับสุดท้าย ปลาเป็นอาหารสมองที่ช่วยรักษาผนังเซลล์ประสาทในสมองให้แข็งแรง ไม่หลงลืมอะไรง่ายๆ ผักสีเขียวอย่างผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ช่วยบำรุงสายตา สร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ผักผลไม้สีเหลืองอย่างกล้วยหอมก็ถือเป็นผลไม้คลายเครียดชนิดหนึ่ง
วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 อายุขึ้นเลข 3 หลายคนเริ่มตกใจกลัว แต่การรู้จักเลือกรับประทานจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเดาอายุคุณจากรูปร่างหน้าตาได้เลย ในช่วงเริ่มวัยผู้ใหญ่ความต้องการพลังงานยังคงอยู่ เพราะเป็นช่วงชีวิตของการทำงาน แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องของไขมันและโคเลสเตอรอลที่จะส่งผลกระทบกับรูปร่างหน้าตาภายนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย เพราะการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น เนยแข็ง กะทิ เนยเทียม เป็นต้น จะสร้างปัญหาให้หลอดเลือดและหัวใจ แต่คุณสามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดไขมันและโคเลสเตอรอล เช่น ปลาทะเล ช่วยลดความดันโลหิต พวกถั่วเมล็ดแห้งอย่างถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และมีโปรตีนสูงเพื่อให้พลังงานแทนสัตว์ใหญ่ได้อีก อาหารจำพวกข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท มีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานและส่งผลดีต่อระบบลำไส้
วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 วัยทองถูกเรียกแทนวัย 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผู้หญิง ส่วนผู้ชายวัยนี้ก็จะเริ่มมีโรคต่างๆที่ไม่เคยออกอาการ ซึ่งเรียกกันว่าเป็น “วิถีทางธรรมชาติ” แต่ทั้งนี้การชะลอวัยหรือป้องกันโรคต่างๆที่มากับวัยไม่ได้ยุ่งยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ สำหรับช่วงวัยนี้ความต้องการพลังงานจะลดลง แต่ความต้องการแคลเซียมและวิตามินต่างๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะได้รับจากผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง แล้วยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีจากอาหารที่หารับประทานได้ง่าย เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ แคนตาลูป ส่วนอาหารที่มีวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืช เนยถั่ว ถั่วลิสง อัลมอนด์ นอกจากนี้ควรรับประทานเต้าหู้ โปรตีนไขมันต่ำ ซึ่งให้แคลเซียมมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น แต่ไม่ควรลืมหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวเร่งความแก่ให้เร็วขึ้น เช่น อาหารไขมันสูงประเภททอดกรอบหรือผัดน้ำมันมากๆ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มกาเฟอีนทั้งหลาย
วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 การก้าวเข้าสู่ช่วงวัย 50 เป็นต้นไปนั้นไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจด้วย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวัยนี้คุณควรเข้าใจการทำงานของร่างกายที่มีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะระบบการย่อยการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง ช่วงนี้คุณอาจไม่รู้สึกกระหายน้ำเท่าไหร่ แต่ควรดื่มน้ำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพื่อป้องกันการขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลงและพยายามเลือกชนิดไม่ขัดสี เน้นอาหารจำพวกปลาเพื่อไม่ให้ขาดโปรตีน ที่สำคัญคือเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย
การรู้จักเลือกรับประทานอาหารไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องสุขภาพเท่านั้น หากยังเอื้อต่อความสวยความงามอีกด้วย ความจริงการเลือกอาหารให้เหมาะสมตามช่วงวัยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สุขภาพดีได้ เพราะในแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างกันในด้านพัฒนาการของร่างกายและลักษณะการดำเนินชีวิต วันนี้จึงขอเสนอเรื่องราวของอาหารที่เกี่ยวข้องกับช่วงอายุทั้ง 4 ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดที่คุณจะลองทำตาม
วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 ช่วงอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่ร่างกายมีการพัฒนาและเติบโตเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน และเป็นวัยที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งมีการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมากเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งเผาผลาญและใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม โดยเลือกรับประทานจำพวกเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ รวมถึงข้าวและแป้งมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยผักผลไม้เป็นอันดับสอง ส่วนนมและอาหารทดแทนแคลเซียมต่างๆ เช่น เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม ตามมาเป็นอันดับสาม และให้ความสำคัญของไขมันเป็นอันดับสุดท้าย ปลาเป็นอาหารสมองที่ช่วยรักษาผนังเซลล์ประสาทในสมองให้แข็งแรง ไม่หลงลืมอะไรง่ายๆ ผักสีเขียวอย่างผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ช่วยบำรุงสายตา สร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ผักผลไม้สีเหลืองอย่างกล้วยหอมก็ถือเป็นผลไม้คลายเครียดชนิดหนึ่ง
วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 อายุขึ้นเลข 3 หลายคนเริ่มตกใจกลัว แต่การรู้จักเลือกรับประทานจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเดาอายุคุณจากรูปร่างหน้าตาได้เลย ในช่วงเริ่มวัยผู้ใหญ่ความต้องการพลังงานยังคงอยู่ เพราะเป็นช่วงชีวิตของการทำงาน แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องของไขมันและโคเลสเตอรอลที่จะส่งผลกระทบกับรูปร่างหน้าตาภายนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย เพราะการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น เนยแข็ง กะทิ เนยเทียม เป็นต้น จะสร้างปัญหาให้หลอดเลือดและหัวใจ แต่คุณสามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดไขมันและโคเลสเตอรอล เช่น ปลาทะเล ช่วยลดความดันโลหิต พวกถั่วเมล็ดแห้งอย่างถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และมีโปรตีนสูงเพื่อให้พลังงานแทนสัตว์ใหญ่ได้อีก อาหารจำพวกข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท มีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานและส่งผลดีต่อระบบลำไส้
วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 วัยทองถูกเรียกแทนวัย 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผู้หญิง ส่วนผู้ชายวัยนี้ก็จะเริ่มมีโรคต่างๆที่ไม่เคยออกอาการ ซึ่งเรียกกันว่าเป็น “วิถีทางธรรมชาติ” แต่ทั้งนี้การชะลอวัยหรือป้องกันโรคต่างๆที่มากับวัยไม่ได้ยุ่งยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ สำหรับช่วงวัยนี้ความต้องการพลังงานจะลดลง แต่ความต้องการแคลเซียมและวิตามินต่างๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะได้รับจากผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง แล้วยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีจากอาหารที่หารับประทานได้ง่าย เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ แคนตาลูป ส่วนอาหารที่มีวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืช เนยถั่ว ถั่วลิสง อัลมอนด์ นอกจากนี้ควรรับประทานเต้าหู้ โปรตีนไขมันต่ำ ซึ่งให้แคลเซียมมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น แต่ไม่ควรลืมหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวเร่งความแก่ให้เร็วขึ้น เช่น อาหารไขมันสูงประเภททอดกรอบหรือผัดน้ำมันมากๆ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มกาเฟอีนทั้งหลาย
วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 การก้าวเข้าสู่ช่วงวัย 50 เป็นต้นไปนั้นไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจด้วย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวัยนี้คุณควรเข้าใจการทำงานของร่างกายที่มีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะระบบการย่อยการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง ช่วงนี้คุณอาจไม่รู้สึกกระหายน้ำเท่าไหร่ แต่ควรดื่มน้ำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพื่อป้องกันการขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลงและพยายามเลือกชนิดไม่ขัดสี เน้นอาหารจำพวกปลาเพื่อไม่ให้ขาดโปรตีน ที่สำคัญคือเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย
5 วิธีบริหารหุ่นอินเทรนด์
เบื่อกับการออกกำลังกายแบบเดิม ๆ รึเปล่า ลองเปลี่ยนสไตล์ด้วยการหากิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อจูงใจให้คุณลุกขึ้นมาปฏิวัติเรือนร่างตัวเองอีกครั้ง
1.แอโรบิกในน้ำ
เป็นวิธีออกกำลังกายที่ดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักมาก เพราะน้ำจะช่วยลดแรงกระแทกจากการออกกำลังกาย ขณะเดียวกันแรงต้านของน้ำก็จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อและจะทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้ดี
2.พิลาทีส
เป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์ของโยคะและยิมนาสติก การฝึกพิลาทีสอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้กล้ามเนื้อเรียวสวยและแข็งแรงขึ้น สัดส่วนกระชับ ที่สำคัญหน้าท้องแบนราบด้วย
3.โยคะ
การฝึกโยคะจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง เปลี่ยนให้จิตใจสงบ มีสมาธิ และเหนือสิ่งอื่นใดยังทำให้รูปร่างกระชับ เพรียวสวย และทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูอ่อนเยาว์อีกด้วย
4.บอดี้คอมแบต
สำหรับคนที่หลงใหลศิลปะการต่อสู้และเสียงเพลงน่าจะชื่นชอบกิจกรรมนี้ เต้นบอดี้คอมแบตหนึ่งชั่วโมงทำให้ได้เคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วน เผาผลาญแคลอรีและขับเหงื่อได้เป็นอย่างดี
5.ฟิตบอล
การออกกำลังกายด้วยการใช้ลูกบอลรองรับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น ขา แผ่นหลัง สะโพก หรือหน้าท้อง จะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนได้เคลื่อนไหว ส่งผลให้รูปร่างกระชับได้สัดส่วนสวย
นมถั่วเหลือง ดีกว่า นมวัว จริงเหรอ ?
"ที่เค้าว่านมถั่วเหลืองดีอย่างโน้นอย่างนี้ แถมราคาก็ถูกกว่านมวัว แล้วอย่างนี้เราจะหันมาดื่มนมถั่วเหลืองแทนนมวัวซะเลยจะดีไหม"
คำถามนี้เคยเกิดขึ้นในใจ คุณบ้างรึเปล่า? วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยที่ว่านี้กันให้ชัด ๆ เลย
ใน เรื่องของโปรตีน ถ้าทำน้ำถั่วเหลืองจากสูตร ถั่วเหลือง 1 ส่วนต่อน้ำ 8 ส่วน จะได้โปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว คือ ดื่มนมถั่วเหลือง 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) จะได้โปรตีน ประมาณ 6 กรัม (นมวัว 1 แก้ว จะได้โปรตีนประมาณ 7 กรัม) แต่คุณภาพโปรตีนในนมวัวมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบของ โปรตีนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลืองที่มาจากพืช แต่คุณภาพของโปตีนในนมถั่วเหลือง ก็สามารถเสริมให้ดีขึ้นได้ ด้วยการเติมเครื่องต่าง ๆ อย่างที่นิยมกัน เช่น ลูกเดือย สาคู ถั่วแดงลงไป ได้ทั้งความอร่อยแถมคุณค่าของโปรตีนสมบูรณ์ขึ้น
พลังงานที่ได้จากนมวัวจะมีไขมันมากกว่านมถั่วเหลืองถึง 2 เท่า คือนม วัว 1 แก้วจะให้พลังงาน ประมาณ 170 แคลอรี่ ส่วนนมถั่วเหลืองจะให้เพียง 80 แคลอรี่ เท่านั้น แต่คนที่ดื่มนมถั่วเหลืองเติมน้ำตาลมาก จนมีรสหวานกว่านมสดรสหวาน ก็จะได้พลังงานทั้งหมดพอ ๆ กัน แม้ว่านมถั่วเหลืองจะให้แคลเซียมที่น้อยกว่านมวัว แต่ให้ธาตุเหล็กและวิตามินบีหนึ่งที่มากกว่า
เราดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนนมวัวไม่ได้ เพราะจะมีแคลเซียมน้อยกว่านมวัวอยู่มาก แต่หากมีการเสริมแคลเซียมลงในนมถั่วเหลือง ก็เท่ากับว่าเสริมคุณค่าทางโภชนาการให้สมบูรณ์มากขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นอาหารเสริมก็ควรดื่ม วันละ 1-2 แก้ว
หากเป็น นมถั่วเหลืองธรรมดา ที่ไม่ได้มีการเสริมแคลเซียม ขอแนะนำให้ดื่มนมวัวบ้างประมาณวันละ 1-2 แก้ว สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 2-3 แก้วสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับหญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตร เพื่อจะได้แคลเซียมอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในสภาวะนั้นๆ
เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ
เยลลี่อัญชัน
วันนี้เรามีเมนูของหวานมาฝากกันค่ะ เยลลี่ดอกอัญชัน มีสรรคุณบำรุงดวงตา แก้อาการตาฟาง ตามัว แถมยังมีคุณสมบัติช่วยขับปัสสวะอีกด้วยค่ะ
ส่วนผสม
น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
อัญชัน 20 ดอก
น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ
เจลาติน 3 แผ่น (แช่น้ำเย็นให้นิ่มแล้วสะบัดน้ำออกให้หมด)
วิธีทำ
ใช้มือขยี้ดอกอัญชันให้ละเอียดผสมกับน้ำเปล่า กรองเอากากออก เติมน้ำตาลลงไป นำไปเข้าไมโครเวฟประมาณหนึ่งนาที หย่อนเจลาตินที่นิ่มแล้วลงไป คนให้ละลาย พักไว้ให้อุ่นเทใส่พิมพ์ซิลิโคน (วันนี้ใช้ทรงโดม) นำเข้าช่องฟรีซจนแข็งตัว
วันนี้เรามีเมนูของหวานมาฝากกันค่ะ เยลลี่ดอกอัญชัน มีสรรคุณบำรุงดวงตา แก้อาการตาฟาง ตามัว แถมยังมีคุณสมบัติช่วยขับปัสสวะอีกด้วยค่ะ
ส่วนผสม
น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
อัญชัน 20 ดอก
น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ
เจลาติน 3 แผ่น (แช่น้ำเย็นให้นิ่มแล้วสะบัดน้ำออกให้หมด)
วิธีทำ
ใช้มือขยี้ดอกอัญชันให้ละเอียดผสมกับน้ำเปล่า กรองเอากากออก เติมน้ำตาลลงไป นำไปเข้าไมโครเวฟประมาณหนึ่งนาที หย่อนเจลาตินที่นิ่มแล้วลงไป คนให้ละลาย พักไว้ให้อุ่นเทใส่พิมพ์ซิลิโคน (วันนี้ใช้ทรงโดม) นำเข้าช่องฟรีซจนแข็งตัว
สมูทตี้ทำฟันสึก
น้ำผลไม้ปั่นไม่แยกกาก หรือที่เรียกว่าสมูทตี้ แม้จะมีข้อดีทำให้เราได้รับคุณค่าจากผลไม้มากขึ้น แต่ข้อเสียคือ น้ำผลไม้ปั่นมีน้ำตาลและกรดจากผลไม้สูง ยิ่งเติมน้ำตาลเข้าไปด้วยจะยิ่งทำให้ปริมาณน้ำตาลสูงขึ้นไปอีก ผลเสียคืออาจทำให้เสี่ยงต่อภาวะฟันสึกกร่อนในระยะยาว รู้สึกเสียวฟัน และฟันผุเพิ่มขึ้น
วิธีป้องกันฟันผุสำหรับผู้ที่หลงใหลเครื่องดื่มสมูทตี้ คือแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ก่อนดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำอัดลม หรือบ้วนปากหลังดื่มน้ำผลไม้ จนผ่านไป 1 ชั่วโมงแล้วค่อยแปรงฟัน ไม่ควรแปรงฟันทันที เพราะกรดซีตริกจากน้ำผลไม้จะไปละลายแคลเซียมในผิวเคลือบฟัน ทำให้เคลือบฟันชั้นนอกอ่อนลงและหลุดออกง่ายขึ้น
7 เคล็ดลับกินอย่างไรไม่ให้อ้วน
1.ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดและควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น
2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น
3.เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น
5.กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น
6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัน
7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนม ขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กทีกำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนยเพื่อมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล
2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น
3.เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น
5.กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น
6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัน
7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนม ขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กทีกำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนยเพื่อมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล
กินเพื่อผิวสวย
ส้ม - เป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เลยมีประโยชน์ช่วยบำรุงให้ผิวของเราดูสดใสอ่อยวัย
มะนาว - อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินหลักของร่างกายที่มีผลต่อสภาพผิว หากร่างกายขาดวิตามินซี
ผิวของเราก็จะดูเหนื่อยล้า แห้งกร้าน หมองคล้ำ ไม่เปล่งปลั่ง
แครอท - มีสารเบต้าแคโรทีนที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งเป็นอาหารจำเป็นที่ช่วยบำรุงผิว
กีวี - ผลไม้นอกชนิดนี้ประกอบด้วยวิตามินซี ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญ
ที่ทำให้ผิวของเราดูชุ่มชื้นหรือว่าแห้งกร้าน
อะโวคาโด - ผลไม้นอกอีกหนึ่งชนิดที่อุดมไปด้วยวิตามินซี การรับประทานอะโวคาโด 1 ผลต่อวัน
จะทำให้ร่างกาย ได้รับวิตามินอีในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน เลยทีเดียว
โยเกิร์ต - การรับประทานนมเปรี้ยวหมักจะช่วยในเรื่องการขับถ่าย ซึ่งมีผลต่อผิวพรรณของเราเหมือนกัน
เมล็ดถั่วต่างๆ - ประกอบไปด้วยโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารของผิวสวยค่ะ
งา - อุดมไปด้วยวิตามินบี สังกะสี และโปแตสเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้ผิวดูสดใสอ่อนวัย
ผักโขม - เหมือนที่ป๊อปอายกินไงคะ ผักชนิดนี้เต็มไปด้วยธาตุเหล็ก ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอมชมพู
ดูมีสุขภาพดี
ปลาอุดมไขมัน - เช่น ปลาแซลมอน ปลาพกวนี้จะมีน้ำมันปลาที่ช่วยให้ผิวเต่งตึงค่ะ
มะนาว - อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินหลักของร่างกายที่มีผลต่อสภาพผิว หากร่างกายขาดวิตามินซี
ผิวของเราก็จะดูเหนื่อยล้า แห้งกร้าน หมองคล้ำ ไม่เปล่งปลั่ง
แครอท - มีสารเบต้าแคโรทีนที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งเป็นอาหารจำเป็นที่ช่วยบำรุงผิว
กีวี - ผลไม้นอกชนิดนี้ประกอบด้วยวิตามินซี ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญ
ที่ทำให้ผิวของเราดูชุ่มชื้นหรือว่าแห้งกร้าน
อะโวคาโด - ผลไม้นอกอีกหนึ่งชนิดที่อุดมไปด้วยวิตามินซี การรับประทานอะโวคาโด 1 ผลต่อวัน
จะทำให้ร่างกาย ได้รับวิตามินอีในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน เลยทีเดียว
โยเกิร์ต - การรับประทานนมเปรี้ยวหมักจะช่วยในเรื่องการขับถ่าย ซึ่งมีผลต่อผิวพรรณของเราเหมือนกัน
เมล็ดถั่วต่างๆ - ประกอบไปด้วยโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารของผิวสวยค่ะ
งา - อุดมไปด้วยวิตามินบี สังกะสี และโปแตสเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้ผิวดูสดใสอ่อนวัย
ผักโขม - เหมือนที่ป๊อปอายกินไงคะ ผักชนิดนี้เต็มไปด้วยธาตุเหล็ก ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอมชมพู
ดูมีสุขภาพดี
ปลาอุดมไขมัน - เช่น ปลาแซลมอน ปลาพกวนี้จะมีน้ำมันปลาที่ช่วยให้ผิวเต่งตึงค่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
10 วิธี การกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี
ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและ กระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและ กระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (น้ำแอบเปิ้ล)
ส่วนผสม
เนื้อแอปเปิลสุก 2 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
เกลือ 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
- ล้างแอปเปิลให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
- นำเนื้อแอปเปิลผสมน้ำ ต้มให้เดือด พอเนื้อแอปเปิลเปื่อยนำมายีให้ละเอียด
- ผสมน้ำตาลทราย เกลือ คนให้ละลาย นำไปต้มอีกครั้งให้เดือด ยกลงพักให้เย็น
- วิธีเสิร์ฟ : แช่ให้เย็นในตู้เย็น หรือลอยด้วยน้ำแข็ง 2 - 3 ก้อน
หมายเหตุ : สรรพคุณ ; แก้กระหายน้ำ บำรุงกำลัง ละลายเสมหะ ช่วยระบาย
เนื้อแอปเปิลสุก 2 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
เกลือ 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
- ล้างแอปเปิลให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
- นำเนื้อแอปเปิลผสมน้ำ ต้มให้เดือด พอเนื้อแอปเปิลเปื่อยนำมายีให้ละเอียด
- ผสมน้ำตาลทราย เกลือ คนให้ละลาย นำไปต้มอีกครั้งให้เดือด ยกลงพักให้เย็น
- วิธีเสิร์ฟ : แช่ให้เย็นในตู้เย็น หรือลอยด้วยน้ำแข็ง 2 - 3 ก้อน
หมายเหตุ : สรรพคุณ ; แก้กระหายน้ำ บำรุงกำลัง ละลายเสมหะ ช่วยระบาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)